ในปัจจุบันเทรนด์การรักสุขภาพไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์เราเท่านั้น แม้แต่ในสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างน้องหมาและน้องแมวก็กำลังมาแรง ซึ่ง “บาร์ฟ”เป็นอาหารทางเลือกที่จะช่วยจัดการเรื่องอาหารที่จะคอยดูแลให้น้องๆ ได้กินอาหารที่เหมาะสมและมีประโยชน์ส่งเสริมให้สุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งการให้อาหารที่สดใหม่อย่างอาหารบาร์ฟเริ่มกลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงสุนัขมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ นอกจากน้องหมาจะกินได้แล้วน้องแมวก็กินบาร์ฟได้ดีเช่นกัน วันนี้เราจึงขอพาทุกๆ ท่านไปรู้จักกับการให้อาหารแบบ “บาร์ฟ” เพื่อเป็นความรู้และเป็นทางเลือกที่จะดูแลสุขภาพเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรากันครับ
บาร์ฟ คืออะไร ?
อาหารบาร์ฟ (BARF) ย่อมาจากคำว่า “Bones and Raw Food” คือ การเตรียมอาหารที่มีส่วนประกอบมาจากเนื้อส่วนต่างๆ เครื่องใน กระดูกสัตว์ รวมไปถึงไข่และพืชผักผลไม้ ที่ไม่ผ่านการให้ความร้อน ซึ่งสามารถปรุงได้เองหรือสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดก็ได้ ซึ่งจุดการให้อาหารแบบบาร์ฟนั้น เชื่อกันว่าเป็นการเลียนแบบการกินอาหารตามธรรมชาติของสัตว์ จะทำให้สัตว์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อโรคอ้วน และมีอายุที่ยืนยาว สามารถหลีกเลี่ยงสารเคมีปรุงแต่งต่างๆ ในอาหารที่สามารถส่งผลเสียต่อสัตว์ได้
ข้อดีของการให้ “บาร์ฟ” แก่สัตว์เลี้ยง
1. สัตว์เลี้ยงได้รับสารอาหารที่เหมาะสม
2. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง
3. ผิวพรรณและร่างกายของสัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดี
4. ขนเงางาม, ฟันสะอาดปราศจากกลิ่นปากในสัตว์เลี้ยง
ข้อควรระวังเมื่อให้กิน “บาร์ฟ(BARF)”
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือ “ความสดและสะอาด”ของวัตถุดิบที่นำมาทำบาร์ฟ การให้น้องหมาและน้องแมวกินเนื้อดิบต้องเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ไม่วางทิ้งไว้นานในอุณหภูมิห้อง หากกินไม่หมดควรทิ้ง หากทำไว้ล่วงหน้าควรแช่แข็ง และเมื่อมีการกินบาร์ฟ น้องหมาและน้องแมวควรถ่ายพยาธิทุกๆ 2 – 3 เดือนครั้งเป็นอย่างน้อย
หากน้องหมาและน้องแมวไม่เคยกินควรเริ่มให้กินแต่น้อย แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณให้น้องๆ ปรับตัว ซึ่งช่วงแรกอาจมีอาการถ่ายเหลวได้ ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของน้องหมาและน้องแมวด้วยว่าสามารถกินบาร์ฟได้หรือเปล่า หากถ้าไม่ดีควรหยุดและเปลี่ยนวิธีการกินอาหารเป็นแบบปกติแทน
วิธีการให้อาหารและเก็บรักษา “บาร์ฟ(BARF)”
เมื่อปรุงบาร์ฟเรียบร้อยควรแช่แข็งคด้วยอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เพื่อการเก็บรักษาที่ดีที่สุด และเมื่อจะให้น้องหมาและน้องแมวกินนั้น ควรนำออกจากช่องแช่แข็งเปลี่ยนมาไว้ช่องความเย็นธรรมดาสัก 1-2 ชั่วโมง หรือ นำมาตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที จึงค่อยเอามีดหั่นเป็นชิ้นพอดีมื้อสำหรับให้น้องๆ กินอย่างอร่อยครับ
หากท่านไม่มีเวลาที่จะเตรียมหรือปรุงบาร์ฟด้วยตนเองแล้วหล่ะก็ ปัจจุบันมีบาร์ฟหลากหลายยี่ห้อให้เราได้เลือกซื้อกันครับ แต่ต้องเลือกยี่ห้อไหน? บาร์ฟแบบไหนถึงจะเหมาะกับน้องหมาและน้องแมวของเรานั้น เรามีวิธีเลือกบาร์ฟมาฝากกันครับ
วิธีการเลือกอาหารบาร์ฟ
1. ควรเลือกอาหารบาร์ฟให้เหมาะกับประเภทและสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยง เพื่อสารอาหารที่ครบถ้วน
2. ควรเลือกอาหารบาร์ฟที่เหมาะสมกับช่วงวัยของสัตว์เลี้ยง เพื่อการเจริญเติบโตที่เหมาะสม
3. ควรเลือกอาหารบาร์ฟสดแบบฟรีซดราย ไม่ต้องแช่เย็น ปลอดพยาธิและแบคทีเรีย ป้องกันให้ห่างไกลจากโรค
4. เลือกอาหารบาร์ฟที่มีส่วนผสมของผักและผลไม้ เพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายของน้องหมาและน้องแมว
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับความรู้เกี่ยวกับ “อาหารบาร์ฟ” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่านกันในวันนี้ เราหวังวาจะช่วยให้ท่านผู้อ่านรู้จักกับ “บาร์ฟ” มากขึ้นนะครับ